เกริ่นนำ

........สวัสดี ทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม บทความนี้เนื่องจากผมได้ทำบล็อคนี้เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน วิชาชีพครู ในภาคเรียนที่1//2558 เป็นสื่อการเรียนที่ทันสมัยที่ใช่ในห้องเรียนและเว็บบล็อคมีความสะดวกสบายทำให้ได้ข้อมูลและความรู้ทั้งข้อมูลและรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับความเป็นครูช่วยให้ผู้เรียนสะดวกสบายมีอิสระในการศึกษาอย่างค้นคว้า ยิ่งไปกว่านี้เรายังนำข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าอย่ากว้างไกลมาตรวจสอบและเรีนรู้อย่างลึกซึ่งในห้องเรียนปกติ ผมหวังว่าเว็บบล็อคนี้จะมีประโยชน์ต่อทุกคนไม่มากก็น้อย

welcome

ส่งงานPower point -3บท

บทที่1
สไลด์1
ครูพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายคําว่า ครู หมายถึง ผู้สั่งสอนศิษย์, ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่
ศิษย์. ส่วนคําว่า อาจารย์ หมายถึง ผู้สั่งสอนวิชาความรู้; คําที่ใช้เรียกนําหน้าชื่อบุคคลเพื่อแสดงความยกย่องว่ามีความรู้ในทาง ใดทางหนึ่ง.
นอกจากนี้ในหนังสือจริยศาสตร์และจริยธรรมเพื่อพัฒนาชีวิตและสังคม ของศาสตราจารย์พิเศษจํานงค์ ทองประเสริฐ
สไลด์2
ราชบัณฑิต ได้ให้ความหมายที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของคําว่า ครู กับอาจารย์ ไว้โดยสรุปว่า
คําว่า ครู ตามศัพท์แปลว่า ผู้หนัก หมายถึง ผู้ที่ต้องมีภาระหนักในการที่จะอบรมสั่งสอนศิษย์และในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์
ส่วนคําว่า อาจารย์ แปลว่า ผู้ที่ศิษย์จะต้องประพฤติตอบด้วยความเอื้อเฟื้อ คือความเคารพนบนอบ ในทาง
พระพุทธศาสนาถือกันว่า ครูเป็นทิศเบื้องขวา เพราะเป็นบุคคลที่สําคัญยิ่งในอันที่จะสร้างบุคคลในสังคมให้เป็นผู้มีความรู้ มี
คุณธรรม อันจะเป็นกําลังทางสังคมของประเทศชาติต่อไป
สไลด์ 3
ดังนั้น คําว่า ครูจึงมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าคําว่า อาจารย์มาก
เพราะแสดงถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่ครูมีต่อ ศิษย์ด้วยครูจะต้องเอาใจใส่ในการให้ความรู้และอบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งในห้องเรียน
ในโรงเรียน และแม้แต่ศิษย์ซึ่งได้ร่ําเรียนจบไปแล้ว ครูก็ยังมีความผูกพันทางด้านจิตใจกับศิษย์
ยังมีความเป็นห่วงความกังวลในอนาคตของศิษย์ เป็นผู้ที่คอยปลุกปลอบและให้กําลังใจแก่ศิษย์เสมอ
สไลด์4
ครู ซึ่งมาจากคำว่า คุรุ แปลว่า หนัก ฉะนั้นแล้ว ครู จึงเป็นผู้หนัก หนักในเรื่องใดบ้าง เช่น หนักในการที่จะสั่งสอนศิษย์ให้เป็นบุคคลที่มีความรู้ หนักในการที่จะสอนคนหลาย ๆ คนให้เป็นคนที่ดี เป็นบุคคลที่สังคมมีความต้องการ และการที่เราจะสามารถสอนคนเหล่านั้นได้เราจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล เหล่านั้นดีพอสมควร เราจึงจะสามารถสอนเขาได้ ซึ่งเข้ากับสุภาษิตจีนที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งการสอนคนก็เช่นเดียวกัน การสอนก็เปรียบเสมือนกับการรบที่จะต้องมีการใช้ แรงกาย แรงใจ และกำลังสมองในการที่จะมาคิดกาวิธีทางที่จะเอาชนะข้าศึก ซึ่งก็เปรียบได้กับ ความไม่รู้หรือความเขลาในตัวศิษย์ และการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติ เรื่องราว หรือพื้นเพของคนที่เราเรียกว่าศิษย์นั้นก็เป็นอีกกลยุทธหนึ่งที่จะเอาชนะ ความเขลา หรือข้าศึกในการรบได้

สไลด์5
ความ หมายของครู กล่าวคือ ผู้ที่เป็นครูควรมีภาวะดังกล่าวอันได้แก่ ความรู้ ความประพฤติและคุณธรรม ไม่ว่าครูนั้นจะอยู่ ณ ที่ใด หน่วยงานไหน หรือซีกใดของโลก
อย่าง ไรก็ตาม ยังมีความหมายของครู อีกอย่างหนึ่งที่กำหนดโดยกฎหมายให้เป็น รูปแบบ แบ่งเป็นชั้นหรือระดับ สูงต่ำแตกต่างกัน และอาจเกิดสิ่งที่เรียกว่าเกียรติหรือศักดิ์ศรี แทรกซ้อนอยู่ในรูปแบบนั้นด้วย ซึ่งบางที อาจปิดกั้นไม่ให้มองเห็นความหมายตามเนื้อแท้ ก็ได้ ความหมายของครูที่กำหนดโดยกฎหมายนี้ อาจเรียกว่า ความหมายของครูตามรูปแบบ

สไลด์6

ผู้เขียนใช้ข้อความนี้ เพราะเป็น ความหมายที่ไม่แน่นอนตลอดไป อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามความเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย ซึ่งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการอีกทีหนึ่ง ถ้ากฎหมายกำหนดครูให้เป็นรูปแบบระดับใด ความหมายของครูก็จะเปลี่ยนไปตามรูปแบบระดับนั้น ๆ
ตัวอย่าง ความหมายของครูตามรูปแบบ จะเห็นได้จากกฎหมายบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ กำหนดรูปแบบของครูโดยเรียกว่า ข้าราชการครูซึ่งมี ๓ กลุ่ม ได้แก่ ๑) กลุ่มที่มีหน้าที่เป็นผู้สอนในหน่วยงานทางการศึกษา ๒) กลุ่มที่มีหน้าที่เป็นผู้บริหารและให้การศึกษาใน หน่วยงานทางการศึกษา และ ๓) กลุ่มที่มี หน้าที่เกี่ยวกับการให้การศึกษาที่ไม่สังกัดโรงเรียน วิทยาลัย หรือสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่น ของกระทรวงศึกษาธิการ
เฉพาะกลุ่มที่ ๑ ซึ่งทำหน้าที่สอนเป็นหลัก ก็มีการแบ่งตำแหน่ง

สไลด์7
เป็นระดับ ๆ ไปจากล่างขึ้นไปสูง คือ
๑. ครู ๑
๒. ครู ๒
๓. อาจารย์ ๑
๔. อาจารย์ ๒
๕. อาจารย์ ๓
๖. ผู้ช่วยศาสตราจารย์
๗. รองศาสตราจารย์
๘. ศาสตราจารย์
และบางตำแหน่งก็กำหนดให้มีได้ เฉพาะในบางหน่วยงาน คือตำแหน่งที่ ๖-๗-๘ จะมีได้เฉพาะในหน่วยงานที่มีการสอนถึง ระดับปริญญาเท่านั้น

สไลด์8

ในสถาบันอุดมศึกษาบางสังกัด กล่าวคือ มหาวิทยาลัย ได้มีการกำหนดแบบของครูเป็นพิเศษต่างหากออกไปจน ไม่มีกลิ่นไอของครูเลยทีเดียว ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายคนละฉบับกัน
ความ หมายของครูตามรูปแบบอาจ มีส่วนกระทบในทางลบต่อความหมายของครูตามเนื้อแท้ก็ได้ และคำว่า ครูอาจจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากความสนใจของสังคมโดย อาจถูกมองว่าไม่เหมาะกับยุคสมัย เช่น แทนที่ จะเรียกว่า ครูก็เรียกว่า อาจารย์หรือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์หรือคำอื่น ๆ (อาจมีขึ้นภายหลัง) ดูจะเท่หรือโก้กว่าหรือทันสมัยกว่า

สไลด์9
กฎหมายที่กำหนดขึ้นในระยะหลัง ๆ ดูจะพยายามลดความสำคัญของคำว่า ครูลง จะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม มองเฉพาะในแง่สถาบันผลิตครู เช่น วิทยาลัยครู ได้กลายมาเป็นสถาบันราชภัฏ มหาวิทยาลัยที่ผลิตครู แม้มีคณะที่รับผิดชอบเรื่องครู ก็พยายามที่กลายชื่อเป็นอย่างอื่น เช่นศึกษาศาสตร์ หรือบุคลากรทางการศึกษา
นาน ๆ ไป คำว่า ครูคงจะหมดไป และคนที่เป็นครู อาจจะเป็นใครก็ได้ที่สามารถทำหน้าที่สอนได้ จนที่สุดแม้แต่เครื่องเทคโนโลยีก็อาจเป็นครูได้ เพราะสามารถทำหน้าที่สอนให้เกิดความรู้ได้ ดังนั้น องค์ประกอบแห่งความเป็นครู ที่กล่าวข้างต้น คือ ความรู้ ความประพฤติ และคุณธรรม อาจเหลือเฉพาะองค์ประกอบเดียวคือ ความรู้เท่านั้นก็ได้ หลับตาดูก็แล้วกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง สังคมในอนาคตจะวุ่นวายแค่ไหนสุดที่จะเดาได้

สไลด์ที่10
บทบาทของครู
ครู คือผู้นำทางวิญญาณ ทั้งแก่บุคคลและสังคม ใน ๓ ประการคือ
๑. สอนให้รู้จักความรอดที่แท้จริง คือการดับทุกข์
๒. สอนให้รู้จักความสุขที่แท้จริง คือความสุขจากการทำหน้าที่ หน้าที่นั้นแยกได้ ๒ ประการ ประการที่ ๑ คือ การบริหารชีวิตให้เป็นสุข ประการที่ ๒ คือ การใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
๓. สอนให้รู้จักหน้าที่ที่แท้จริง คือรู้จักหน้าที่ในฐานะที่เป็นสิ่งสูงสุด รักที่จะทำหน้าที่และมีความสุขในการทำหน้าที่
๒. ครูเป็นผู้สร้างโลก
บุคคล ในโลกจะดีหรือเลว ก็เพราะการศึกษาและผู้ให้การศึกษา ก็คือครู ดังนั้น ครูจึงเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต โดยผ่านศิษย์ โลกที่พึงประสงค์คือ โลกของคนดีอันเปรียบได้กับ
๑. มนุษยโลก คือ สร้างบุคคลที่มีจิตใจสูง
๒. พรหมโลก คือ สร้างบุคคลที่ประเสริฐรักเพื่อนมนุษย์ มีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
๓. เทวโลก คือ สร้างบุคคลให้มีหิริ โอตตัปปะ
๓. หน้าที่ของครู
หน้าที่ ของครู คือสร้างความอยู่รอดของสังคม โดยการให้การศึกษาที่สมบูรณ์แก่ศิษย์ การศึกษาที่สมบูรณ์คือ การศึกษาที่ครบองค์สาม อันได้แก่
๑. ให้ความรู้ทางโลก หมายถึง การเรียนหนังสือ เพื่อพัฒนาสติปัญญาและการเรียนวิชาชีพ เพื่อให้สามารถอยู่รอดทางกาย
๒. ให้ความรู้ทางธรรม เพื่อให้ใจอยู่รอด คือรอดพ้นจากความครอบงำของกิเลส มีความเป็นมนุษย์ คือใจสูง ใจสว่าง และใจสงบ
๓. ให้รู้จักทำตนให้เป็นประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและสังคม


บทที่2
สไลด์1
ครูที่แท้จริงนั้นต้องเป็นผู้ที่กระทำแต่ความดี คือ
ต้องหมั่นขยันอุตสาหะพากเพียร
ต้อง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และ เสียสละ
ต้องหนักแน่น อดทน อดกลั้น
ต้องรักษาวินัย สำรวม ระวังความประพฤติของตนให้อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดีงาม
ต้องปลีกตัวปลีกใจออกจากความสบาย และความ สนุกสนานร่าเริงที่ไม่ควรแก่เกียรติภูมิของตน
ต้องตั้งใจให้มั่นคงและแน่วแน่
ต้องรักษาความซื่อสัตย์ รักษาความจริงใจ
ต้องมีเมตตา และหวังดี
ต้องวางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจอคติ
ต้องมั่นอบรมปัญญาให้เพิ่มพูนสมบูรณ์ขึ้นทั้งในด้านวิทยาการ และความฉลาดรอบรู้ให้เหตุและผล

สไลด์2

คุณลักษณะที่ดีของครู หมายถึง เครื่องหมายหรือสิ่งที่ชี้ให้เห็นความดี หรือลักษณะที่ดีของครูและเป็นลักษณะที่ต้องการของสังคม
ลักษณะครู ที่ดี ควรมีความรักและความเมตตาต่อศิษย์ มีความเสียสละ หมั่นเพียรศึกษา ปรับปรุงวิธีการสอน เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ต้องมีความ
เข้าใจและเอาใจใส่ตัวศิษย์ทุกคนเป็นกำลังใจและช่วยสร้างแรงบัลดาลใจให้กับศิษย์เพื่อให้เขาเป็นคนใฝ่เรียนรู้ เป็นแบบอย่างที่ดีมีจรรยาบรรณในวิชาชีพครู

มีจิตวิญญาณของความเป็นครู สามารถถ่ายทอดความรู้ได้เป็นอย่างดี
มีวิธีการสอนที่หลากหลาย มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความยุติธรรม ยอมรับฟังความคิดเห็น
ของผู้อื่น รวมถึงยอมรับและเข้าใจความแตกต่างของเด็กแต่ละคนด้วย
บทที่3
สไลด์1

ความเป็นมาของครู
จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน

สไลด์2

การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้และพัฒนาการเรียนการสอน และงานในหน้าที่ครูอย่างเข้มข้นและเป็นรูปธรรม เป็นโอกาสที่จะได้นำความรู้และทฤษฎี ไปประยุกต์ใช้ และสร้างองค์ความรู้ทางการศึกษา เพื่อสร้างสรรค์และแก้ปัญหาในกระบวนการทำงาน โดยมีครูพี่เลี้ยง อาจารย์นิเทศ และผู้บริหารสถานศึกษา เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำ และความช่วยเหลือ

สไลด์3

จับกระแสการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21: ข้อคิดและทิศทางเพื่อการพัฒนาครูไทย

โครงการจับกระแสความเคลื่อนไหวและนวัตกรรมในการจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กและเยาวชน(INTREND)โดยสถาบันรามจิตติภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้จัดเสวนาครั้งที่ 5 เรื่องจับกระแสการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 : ข้อคิดและทิศทางเพื่อการพัฒนาครูไทย" กระแสการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 ได้กลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญของการปฏิรูปการศึกษาทั่วโลก

สไลด์4

จากการประมวลวรรณกรรมแนวทางและนวัตกรรมการพัฒนาครูที่ดูจะถูกเน้นหนักมากในปัจจุบันน่าจะมีสาระสำคัญครอบคลุมแนวโน้มเชิงวิธีการ

5ประการคือ


สไลด์5

1) การสร้างระบบครูผู้เชี่ยวชาญเป็น Coach ประกบตัวฝึกปฏิบัติให้ครู เป็นการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างครูผู้มีประสบการณ์กับเพื่อนครูในการแก้ปัญหาการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคล

การมีระบบพี่เลี้ยงและการให้คำปรึกษาหารือ (Coaching &
Mentoring
) จึงกลายเป็นกลไกและวิธีการสำคัญของการพัฒนาครูในปัจจุบัน


2) การผสมผสานกระบวนการวัดผลเข้ากับกระบวนการสอนอย่างแนบแน่น
ปรับให้ยืดหยุ่นหลากหลายใช้ได้ในหลายสถานการณ์ หลายเป้าหมายการวัด
โดยเฉพาะการวัดทักษะหรือคุณลักษณะใหม่ๆ ตามกรอบคิดร่วมสมัย

สไลด์6


3) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาครู
เพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาครูทางไกลผ่านรูปแบบ Web-Based Training ต่างๆ และเพื่อ จัดการความรู้ระหว่างครูด้วยกัน




4)การเปลี่ยนไปสู่โฉมหน้าใหม่โรงเรียนเรียนรู้
ครูนักวิจัยจากกรณีศึกษาประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศที่ต่างพยายามปรับรูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนไปสู่การเป็น
องค์กรการเรียนรู้ที่เน้นให้ครู
เรียนรู้และพัฒนาตนเองจากประสบการณ์สะสมซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น

สไลด์7


5)ยุทธศาสตร์การสร้างแรงบันดาลใจ จุดไฟพลังครู(Motivation
& Inspiration)
เน้นการค้นหาและหนุนเสริม
ครูผู้จุดไฟการเรียนรู้ครูในแบบดังกล่าวจะถูกเน้นการฝึกให้รู้จักตั้งคำถามดีๆ
เชื่อมโยงประเด็นสำคัญและตั้งโจทย์ชวนเด็กคิดได้มาก

แนวทางของการพัฒนาครูมักใช้ตัวอย่างจากครูผู้สร้างแรงบันดาลใจ

ด้วยกันมาแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์หรือการเน้นให้ฝึกตั้งคำถามดลใจอันจะทำให้ผู้เรียนเกิดการใฝ่เรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิตต่อไป


หน่วยที่ 7

การสร้างศักยภาพครู

ความหมายของศักยภาพ

ทุกวันนี้มีการนำคำว่า "ศักยภาพ" ไปใช้กันเกร่อ ตามแฟชั่น โดยที่ผู้ใช้บางคนยังไม่รู้ความหมายของมันด้วยซ้ำไป

ศักยภาพของบุคคลใด หมายถึง ความสามารถสูงสุดที่เป็นไปได้ของบุคคลนั้นถ้าหากบุคคลนั้นได้รับการบำรุงส่งเสริมอย่างเต็มที่และถูกทางทั้งทางกายและทางจิต

ดังนี้น ความสามารถที่เรามีอยู่ในขณะนี้จึงยังไม่ใช่ศักยภาพของเรา เราจึงต้อง "พัฒนาความสามารถ" หรือ "พัฒนาสมรรถนะ" เพื่อที่จะเข้าไปใกล้ศักยภาพของเรา ไม่ใช่ "พัฒนาศักยภาพ" เพราะแม้แต่ในคนที่เก่งมาก ๆ เราก็ยังไม่ทราบว่าเขาไปได้ถึงครึ่งศักยภาพของตัวเขาเองแล้วหรือยัง เนื่องจากยังไม่มีใครสร้างเครื่องมือวัดศักยภาพ (ความสามารถสูงสุดที่ยังไม่เกิดขึ้น) ของมนุษย์ได้ แค่วัดความสามารถที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ ก็ยังไม่ทราบว่าผลที่วัดได้นั้นตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ เรื่องที่จะไปขยายหรือพัฒนาศักยภาพจึงยังไม่ต้องพูดถึง

ดังนั้น จึงควรใช้คำว่า "พัฒนาความสามารถ" หรือ "พัฒนาสมรรถภาพ" หรือ "พัฒนาสมรรถนะ" ให้เต็มศักยภาพ (เป็นความพยายามที่จะไปให้ถึง แต่ในความเป็นจริง ทำได้แค่เข้าไปใกล้ศักยภาพอีกนิดหนึ่ง ก็ดีใจแล้ว)
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/183101




ความหมายของสมรรถภาพ
 คำว่า สมรรถภาพทางกาย (Physical fitness) หมายถึง ภาพความสามารถของร่างกายในการประกอบการงาน
หรือ กิจกรรมทางกาย อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอย่างดีโดยไม่เหนื่อยเร็ว สมรรถภาพทางกายเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาการทางด้านร่างกาย ของมนุษย์ สมรรถภาพทางกายของบุคคลทั่วไปจะเกิดขึ้นได้จากการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าหยุดออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงเมื่อใด สมรรถภาพทางกายจะลดลงทันที
องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย
              
การที่คนเราจะทราบได้ว่า สมรรถภาพทางกายของตนจะดีหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาที่องค์ประกอบต่าง ของ
สมรรถภาพ ทางกาย ซึ่งกองส่งเสริมพลศึกษาและสุขภาพกรมพลศึกษา ได้กล่าว สมรรถภาทางกายโดยทั่วไป ประกอบ
ด้วยสมรรถภาพ ด้านย่อย 9 ด้าน
                              1.
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
                              2.
ความทนทานของกล้ามเนื้อ
                              3.
ความทนทานของระบบหมุนเวียนของโลหิต
                              4.
พลังของกล้ามเนื้อ
                              5.
ความอ่อนตัว
                              6.
ความเร็ว
                              7.
การทรงตัว
                              8.
ความว่องไว
                              9.
ความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาและเท้ากับตา
     
องค์ประกอบต่าง ที่กล่าวไว้ข้างต้นแต่ละด้าน มีความหมายที่แตกต่างกันไป     ดังนี้
      1.
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หมายถึง ความสามารถในการหดตัวหรือการทำงานของกล้ามเนื้อที่จะทำ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้สูงสุดในแต่ละครั้ง เช่น ความสามารถในการยกของหนัก ได้ มีพลังบีบมือได้เหนียวแน่น และ
สามารถออกแรง ผลักของหนัก ให้เคลื่อนที่ได้เป็นต้น
                 2.
ความทนทานของกล้ามเนื้อ หมายถึงความสามารถของกล้ามเนื้อในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งได้
ติดต่อกัน เป็นเวลานาน ได้งานมาก แต่เหนื่อยน้อย ตัวอย่าง การทำงานที่แสดงถึงความทนทานของกล้ามเนื้อ เช่น
การแบกของหนักได้ เป็นเวลานาน การวิ่งระยะไกล การถีบจักรยานทางไกลการงอแขนห้อยตัวเป็นเวลานาน เป็นต้น
                 3.
ความทนทานของระบบหมุนเวียนโลหิต หมายถึงความสามรถในการทำงานขอระบบหมุนเวียนโลหิต ซึ่งประกอบด้วย หัวใจ ปอด และเส้นเลือดที่จะทำงานได้นาน เหมื่อยช้า ในขณะที่บุคคลใช้กำลังกายเป็นเวลานาน
และเมื่อร่างกาย เลิกทำงานแล้ว ระบบหมุนเวียนโลหิตจะสามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้ในเวลารวดเร็ว ตัวอย่างกิจกรรมที่
ปฏิบัติแล้วแสดงถึง การมีความทนทานของ ระบบหมุนเวียนโลหิต เช่น การว่ายน้ำระยะไกล การวิ่งระยะไกล โดยการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจไม่ผิดปรกติ
                 4.
พลังกล้ามเนื้อ หมายถึง ความสามารถของกล้ามเนื้อในการทำงานในครั้งหนึ่งอย่างแรงและรวดเร็ว จนทำให้วัตถุหรือร่างกาย เคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ การทำงานของร่างกายที่ใช้พลังกล้ามเนื้อ จะเป็นกิจกรรมประเภทการดึง ดัน ทุ่ม พุ่ง ขว้าง และกระโดด ดังตัวอย่าง การกระโดดสูง การทุ่มน้ำหนัก พุ่งแหลน ขว้างจักร และการยืนกระโดดไกล เป็นต้น
                  5.
ความอ่อนตัว หมายถึง การประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อ เอ็น พังผืด และข้อต่อต่าง ที่มีความยืดหยุ่นในขณะทำงาน หรือ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความสามารถในการเหยียดตัวของข้อต่อส่วนต่าง ของร่างกายในขณะทำงาน
เช่น การก้มตัวใช้มือแตะพื้นโดยไม่งอเข่า การแอ่นตัวใช้มือแตะขาพับได้โดยไม่งอเข่า เป็นต้น
                  6.
ความเร็ว หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนที่ในลักษณะเดียวกัน จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งในแนวเดียวกัน หรือในแนวตรงในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เช่น การวิ่งระยะสั้น
                  7.
การทรงตัว หมายถึง การประสานงานระหว่างระบบของประสาทกับกล้ามเนื้อที่ทำให้ร่างกายสามารถ
ทรงตัวอยู่ใน ตำแหน่งต่าง อย่างสมดุลตามความต้องการ กิจกรรมที่เป็นการทรงตัว เช่น การเดินตามเส้นตรง
ด้วยปลายเท้า การยืนด้วยเท้าข้างเดียวกางแขน การเดินต่อเท้าบนสะพานไม้แผ่นเดียว เป็นต้น
                   8.
ความว่องไว หรือความคล่องตัว หมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนทิศทาง หรือเปลี่ยนตำแหน่ง
การเคลื่อนไหว ของร่างกายอย่างรวดเร็ว และตรงเป้าหมายตามที่ต้องการ ดังตัวอย่างที่แสดงถึงความว่องไว เช่น การยืน
และ นั่งสลับกันด้วย ความรวดเร็ว เป็นต้น
                   9.
ความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาแลเท้ากับตา หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการประสานงานของประสาทกับ
กล้ามเนื้อ ในการทำงาน หมายถึง ความสามารถที่จะทำการเคลื่อนไหวมือและเท้าได้สัมพันธ์กับตาในขณะทำงาน เช่น
การจับ การปาเป้า การยิงประตูฟุตบอล การส่งลูกบอลกรทบฝาผนังแล้วรับ เป็นต้น

ประโยชน์ของการมีสมรรถภาพทางกายดี
                    
การมีสมรรถภาพทางกายที่ดีนั้นจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการพอสรุปส่วนที่สำคัญได้ดังนี้
                    1.
กล้ามเนื้อมีความสามารถในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือ กล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกายหรือ
ทำงานจะมี ขนาดใหญ่แข็งแรงมากขึ้น
                    2.
กล้ามเนื้อหัวใจจะมีความแข็งแรงสามารถหดบีบตัวได้แรงขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น หัวใจ สามารถรับออกซิเจนได้มากขึ้น
                    3.
ระบบประสาทสามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้ดีขึ้น จะช่วยให้ประกอบกิจกรรมต่าง ด้วยความชำนาญ
                    4.
ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อต่าง ของร่างกายเจริญเติบโตได้สัดส่วนสามารถ
ทำงาน อย่าง มีประสิทธิภาพ
                    5.
ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคสูง และลดการเจ็บป่วยเนื่องจากผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดีย่อมมีสุขภาพดี
ไม่มีโรคเบียดเบียน
                    6.
มีบุคลิกดี ผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดีร่างกายจะมีการทรงตัวดีมีทรวดทรงที่สง่างาม เป็นการช่วยเสริม
บุคลิกภาพ ได้ทางหนึ่ง
                    7.
เกิดความมั่นใจในตนเองในการปฏิบัติงานหรือประกอบกิจกรรมต่าง
                    8.
เกิดการเรียนรู้ในเรื่องต่าง ได้ดี เพราะผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดี ย่อมมีสุขภาพดี การทีสุขภาพที่ดี สมบูรณ์ ์แข็งแรงช่วยให้จิตใจแจ่มใส เมื่อจิตใจแจ่มใส ย่อมมีสมาธิเรียนรู้ในเรื่องต่าง ได้อย่างเต็มความสามารถ

เสริมความรู้
สำหรับในประเทศไทย นิยมใช้แบบทดสอบซึ่งคณะกรรมการนานาชาติได้ศึกษาวิจัยหาวิธีการวัดและเกณฑ์มาตรฐาน
สมรรถภาพทางกายขึ้น โดยใช้ชื่อแบบทดสอบว่า แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายมาตรฐานของคณะกรรมการนานาชาติ
(Internationnal Committee For the Standardization of physical Fitness test
หรือ ICSPFT)





 คุณภาพของครูไทย
เมื่อสังคมโลกเปลี่ยนไป ผู้เรียนไม่ได้เรียนรู้จากโรงเรียนเพียงแห่งเดียว แต่สามารถเรียนรู้ได้จากแหล่งเรียนรู้ภายนอกที่เป็นสังคมรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอินเตอร์เน็ต บทบาทของครูไทยในศตวรรษที่ 21[17] จึงต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยครูต้องช่วยแก้ไข และชี้แนะความรู้ทั้งถูก ผิด ที่ผู้เรียนได้รับจากสื่อภายนอก รวมทั้งสอนให้รู้จักการคิดวิเคราะห์ กลั่นกรองความรู้อย่างมีวิจารณญาณ ก่อนนำข้อมูลมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
นอกจากนี้ครูยังต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนและต้องพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของตนเอง ดังที่ รศ.ดร.ถนอมพร  เลาหจรัสแสง [16] ได้เสนอทักษะที่จำเป็นสำหรับครูไทยในอนาคต (C-Teacher) ไว้อย่างน่าสนใจ 8 ประการคือ
1. Content ครูต้องมีความรู้และทักษะในเรื่องที่สอนเป็นอย่างดี หากไม่รู้จริงในเรื่องที่สอนแล้ว ก็ยากที่นักเรียนจะมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหานั้น ๆ
2. Computer (ICT) Integration ครูต้องมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอน เนื่องจากกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีจะช่วยกระตุ้นความสนใจให้กับนักเรียน และหากออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยส่งเสริมความรู้และทักษะที่ต้องการได้เป็นอย่างดี
3. Constructionist ครูผู้สอนต้องเข้าใจแนวคิดที่ว่า ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง โดยเชื่อมโยงความรู้เดิมที่มีอยู่ภายในเข้ากับการได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นครูจึงควรนำแนวคิดนี้ไปพัฒนาวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ที่คงทนและเกิดทักษะที่ต้องการ
4. Connectivity ครูต้องสามารถจัดกิจกรรมให้เชื่อมโยงระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ผู้เรียนกับครู ครูภายในสถานศึกษาเดียวกันหรือต่างสถานศึกษา ระหว่างสถานศึกษา และสถานศึกษากับชุมชน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติอันจะก่อให้เกิดประสบการณ์ตรงกับนักเรียน
5. Collaboration ครูมีบทบาทในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะการเรียนรู้แบบร่วมมือระหว่างนักเรียนกับครู และนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน เพื่อฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ด้วยตนเอง และทักษะสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
6. Communication ครูต้องมีทักษะการสื่อสาร ทั้งการบรรยาย การยกตัวอย่าง การเลือกใช้สื่อ และการนำเสนอ รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนได้อย่างเหมาะสม
7. Creativity ครูต้องออกแบบ สร้างสรรค์กิจกรรมการเรียนรู้ จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนมากกว่าการเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้หน้าห้องเพียงอย่างเดียว
8. Caring ครูต้องมีมุทิตาจิตต่อนักเรียน ต้องแสดงออกถึงความรัก ความห่วงใยอย่างจริงใจต่อนักเรียน เพื่อให้นักเรียนเกิดความเชื่อใจ ส่งผลให้เกิดสภาพการเรียนรู้ตื่นตัวแบบผ่อนคลาย ซึ่งเป็นสภาพที่นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด
เมื่อหน้าที่และบทบาทของครูผู้สอนได้เปลี่ยนจากการบรรยายหน้าชั้นเรียนเพียงอย่างเดียวมาเป็นการกล่าวนำเข้าสู่บทเรียน ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้แนะนำ ให้คำปรึกษา และแก้ปัญหาให้แก่ผู้เรียน จึงเกิดวิธีการสอนที่หลากหลายมากขึ้น [19] มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านเครือข่าย (Network) อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ครูต้องมีการปรับทัศนคติใหม่ พัฒนาความรู้และทักษะความสามารถที่จำเป็นตามแนวทาง C-Teacher ที่ได้กล่าวมาข้างต้น




การพัฒนาศักยภาพและสมรรถภาพความเป็นครู

1. สมรรถนะ (competency) ความหมายของสมรรถนะความเป็นมาของมรรถนะ
2. แนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะเริ่มจากการนาเสนอบทความทางวิชาการของ เดวิด แมคเคลแลนด์ (David C. McClelland) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาววาร์ด เมื่อปี ค.ศ.1960ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะที่ดีของบุคคล (Excellent Performer) ในองค์การกับระดับทักษะความรู้ ความสามารถ โดยกล่าวว่า การวัดไอคิว (IQ) และการทดสอบบุคลิกภาพยังไม่เหมาะสมในการทานาย ความสามารถหรือสมรรถนะของบุคคลได้เพราะไม่ได้สะท้อนความสามารถที่ แท้จริงออกมาได้ ความเป็นมาของมรรถนะ
3. ในปี ค.ศ. 1973 แมคเคลแลนด์ (McClelland)ได้เขียนบทความวิชาการเรื่อง “Testingfor Competence ratherthan Intelligence” ซึ่งถือเป็นจุดกาเนิดของแนวคิดเรื่องสมรรถนะ ที่สามารถอธิบายบุคลิกลักษณะของคนว่าเปรียบเสมือนกับภูเขาน้าแข็ง (Iceberg) แผนภูมิที่ 1 แบบจาลองภูเขาน้าแข็ง (The lceberg Model)
4. ความหมายของสมรรถนะ สมรรถนะ หมายถึง คุณลักษณะของบุคคลซึ่งได้แก่ความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณสมบัติต่างๆอันได้แก่ ค่านิยม จริยธรรม บุคลิกภาพ คุณลักษณะทาง กายภาพและอื่นๆ ซึ่งจาเป็นและสอดคล้องกับความเหมาะสมกับองค์การโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งต้องสามารถจาแนกได้ว่าผู้ที่จะประสบความสาเร็จในการทางานได้ต้องมีคุณลักษณะ เด่นๆอะไร หรือลักษณะสาคัญๆ อะไรบางอย่าง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ สาเหตุที่ทางาน แล้วไม่ประสบความสาเร็จเพราะขาดคุณลักษณะบางประการคืออะไร
5. -ความรู้ (Knowledge) -ทักษะ (Skill) - ความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง (Self –Concept) - บุคลิกลักษณะประจาตัวของบุคคล (Traits) - แรงจูงใจ / เจตคติ (Motives / Attitude) องค์ประกอบของสมรรถนะ
6. ประเภทของสมรรถนะ สมรรถนะส่วน บุคคล สมรรถนะ องค์การ สมรรถนะหลัก สมรรถนะ ในงาน สมรรถนะเฉพาะงาน
7. คุณลักษณะของสมรรถนะ 1.แรงจูงใจ (Motive) 2.คุณสมบัติ ส่วนบุคคล (Trait) 3.แนวคิด ตนเอง (Seif Concept ) 5.ทักษะ (Skill) 4.ความรู้ (Knowledge)
8. ศักยภาพของครู เป็ นพลังที่สร้างอยู่ในสมองของมนุษย์ เกิดขึ้นโดยการกระตุ้นจาก สิ่งแวดล้อม สะสม พัฒนา เชื่อมโยงเส้นใยประสาทเป็นประสบการณ์แห่ง การเรียนรู้
9. คุณสมบัติศักยภาพของครู 1.คุณสมบัติด้าน ความรู้ 2.คุณสมบัติด้าน บุคลิกภาพ 3.คุณสมบัติด้าน สุขภาพอนามัย
10. 1.คุณสมบัติ ด้านความรู้ 1.วิชาภาษาและเทคโนโลยีสาหรับครู 2.วิชาการพัฒนาหลักสูตร 3.วิชาการจัดการเรียนรู้ 4.วิชาจิตวิทยาสาหรับครู 5.วิชาการวัดและการประเมินผลการศึกษา 6.วิชาการบริหารจัดการในห้องเรียน 7.วิชาการวิจัยทางการศึกษา 8.วิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา 9.วิชาความเป็นครู
11. 2.คุณสมบัติ ด้านบุคลิกภาพ - การแต่งกาย - กิริยามารยาท - การยืน การเดิน การนั่ง - การพูดจา - บุคลิกภาพที่ดีของครู
12. 3.คุณสมบัติ ด้านสุขภาพ อนามัย การพัฒนาร่างกายให้สัมพันธ์กับ สภาพแวดล้อมโดยการรักษาอายตนะ ทั้ง5คือ ตา จมูก ลิ้น และกายให้ สมบูรณ์ 1.การใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ 2. การดูแลรักษาหู 3. การดูแลจมูก 4. การดูแลรักษาลิ้น 5.การดูแลรักษากายให้เป็นปกติ การดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์ตามหลัก “10-อ-1 อาหาร รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ อ-2 อากาศ อยู่ที่อากาศที่ถ่ายเทสะดวก อ-3 อารมณ์ รักษาอารมณ์ให้ดี ไม่เครียด ทาจิตให้สงบ อ-4 ออกกาลังกาย ควรออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ อ-5 อุจจาระ ถ่ายให้เป็นเวลาเป็นกิจวัตร อ-6 อุบัติเหตุ ไม่ประมาทมีสติอยู่เสมอ อ-7 เอวองค์ รักษารูปร่างให้พอเหมาะพอดี อ-8 อบายมุข งดอบายมุขทั้งปวง อ-9 อบอุ่น สร้างความอบอุ่นทั้งร่างกายและจิตใจ อ-10 อดิเรก สร้างความเพลิดเพลินให้แก่ชีวิต เช่น เลี้ยงสัตว์เล่นดนตรี
13. บุคลิกภาพ ความหมายของบุคลิกภาพ ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่ได้แสดงออกทางพฤติกรรมต่างๆ เช่น ความคิด ความเชื่อ ทัศคติ ค่านิยม รสนิยม หรือ อารมณ์ เป็นต้น อันเป็น ปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสภาพแวดล้อมที่แสดงถึงตัวตนจริงๆของบุคคลนั้นๆ
14. บุคลิกภาพ มีความสาคัญต่อบุคคลทั้งในด้าน ส่วนตัวและอาชีพการงาน กล่าวคือในด้านส่วนตัว หากบุคคลใดมีบุคลิกภาพดี ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของ บุคคลที่พบเห็นและยินดีที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ความสาคัญของบุคลิกภาพ
15. ลักษณะของบุคลิกภาพ 1.บุคลิกภาพภายนอก (External Personality) คือ คุณลักษณะทุกสิ่งทุกอย่าง ของบุคคลอื่นสามารถฟังได้ด้วยหูหรือด้วยตา 2.บุคลิกภายใน(Internal Personality)คือ สิ่งที่ซ่อน อยู่ภายในตัวบุคคล เป็นสิ่ง ที่มองไม่เห็น สัมผัสได้ยาก
16. 1.การแต่งกาย ควรแต่งกายให้เรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ 2.กิริยามารยาท เน้นเฉพาะกิริยาซึ่งบุคคลต้อง มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเป็น 3.การยืน ชาย ยืนลาตัวให้ตรง เข่าชิดปลายเท้าแยกห่างกันพอสมควรปล่อยมือตามสบาย หญิง ยืนลาตัวตรง ปลายเท้าและส้นเท้าชิดกัน ปล่อยมือตามสบาย 4.การเดิน การเดินมีความสาคัญ ยืนหรือนั่ง หากเดินไม่สวย ไม่สง่างามแล้ว ย่อมทาลายบุคลิกภาพ 5. การนั่ง การนั่งมีความสาคัญต่อสุขภาพและบุคลิกภาพ ดังนั้นครูอาจารย์จึงควรระมัดระวังและ ฝึกฝนการนั่งให้สง่างามอยู่เสมอ 6. การพูดจา ผู้ที่เป็นครูอาจารย์ทุกคนจึงจาเป็นต้องพัฒนาการพูดของตนอยู่เสมอ 7. การรับประทานอาหาร บางคนรับประทานอาหารไม่ค่อยระมัดระวังหือไม่สารวมในการ รับประทานอาหารทาให้ดูน่าเกลียด เสียภาพลักษณ์ที่ดี บุคลิกพื้นฐานที่จาเป็น สาหรับครู
17. บุคลิกภาพภายนอกที่ดีของครู ตัวอย่าง เช่น ร่างกายสมส่วนไม่อ้วนผอม สุขภาพแข็งแรง ร่างกายสะอาดผิวพรรณผ่องใส หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส กิริยาอาการสงบ ยืน เดิน นั่ง เรียบร้อย ทางานคล่องแคล่วว่องไว พูดจาชัดถ้อยชัดคา เสียงดังฟังชัด แต่งกายเรียบร้อย บุคลิกภาพที่ดีของครู บุคลิกภาพภายในที่ดีของครู ตัวอย่าง เช่น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ดี ความรู้รอบตัว ปฏิภาณไหวพริบดีความจาดี อารมณ์ดีมีอารมณ์ขัน กะตืนรือร้นตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์จริงใจ เมตตากรุณากตัญญูกตเวที ช่างสังเกต มีความอดทน มั่นใจในตนเอง
18. การพัฒนาบุคลิกภาพของครู 4.การประเมินตนเอง (Self evaluation) การประเมินผล เป็นการ สารวจตรวจสอบครั้ ง สุดท้ายหลังจากได้กระทา ตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ 3.การฝึ กฝนตนเอง (Self training) หมายถึง การ ควบคุมตนเองให้ปฏิบัติ ตามพฤติกรรมหรือสิ่งที่ ได้รับการปรับปรุงแก้ไข แล้วอย่างสม่าเสมอ โดย การหมั่นฝึ กฝนปฏิบัติ เป็นประจาจนเกิดเป็น นิสัย 2.การปรับปรุงตนเอง (Self improvement) การ ปรับปรุงตนเองจะมีขึ้น ไ ด้ ต้ อ ง อ า ศั ย ก า ร วิเคราะห์ตนเองเบื้องตน ก่อน นั่นคือจะต้องฝึกฝน ตนให้เป็นคน รู้เหตุ-รู้ผล “ 1.การวิเคราะห์ตนเอง (Self analysis) หมายถึง การสารวจตรวจสอบว่า ตัวเองมีสิ่งใดดีหรือสิ่ง ใดบกพร่องหรือมีสิ่งใด เหมาะสมกับงานที่ทา บ้าง
19. ค่านิยม คือ แนวคิด ความประพฤติหรือสภาพของการกระทาใดๆ ที่บุคคลในสังคมนิยมชมชอบและเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าควรแก่การ ประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็ นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตามอย่าง สม่าเสมอ หรือชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้บรรลุถึงจุดมั่งหมายของตนเอง หรือของสังคม ค่านิยมของครู
20. 1.การเลือก (Choosing) ประกอบด้วยการเลือกทางอย่างอิสระ ไม่ถูก บังคับเลือกจากทางเลือกหลายๆ ทาง และเลือกจากผลการพิจารณาทางเลือก ทุกทาง 2.การให้คุณค่า (Prizing) ประกอบด้วยการให้คุณค่าในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จากทางเลือกหลายๆ ทาง และยืนยันการตัดสินใจเลือกตามที่ตนคิดอย่าง เปิดเผย 3.การปฏิบัติ (Acting) ประกอบด้วยการกระทาตามที่ตนเองตัดสินใจ เลือก และการปฏิบัติซ้าจนเกิดเป็นลักษณะนิสัย ลักษณะสาคัญของค่านิยม
21. การเกิดค่านิยม 1.ความคิดและประสบการณ์ 2.การอบรมสั่งสอน 3.การชักชวนจากบุคคลอื่น 4.การศึกษาเล่าเรียน 5.การปลูกฝังอุดมการณ์ 6.การเห็นตามกัน 7.การใช้กฎข้อบังคับ 8.ความนิยมตามยุคสมัย 9.ความเปลี่ยนแปลงทาง สังคมและวันธรรม
22. 1.ค่านิยมทางวัตถุ (Material Values) 2.ค่านิยมทางสังคม (Social Values) 3.ค่านิยมทางความจริง (Truth Values) 4.ค่านิยมทางจริยธรรม (Moral Values) 5.ค่านิยมทางสุนทรียะภาพ (Aesthetic Values) 6.ค่านิยมทางศาสนา (Religious Values) ชนิดของค่านิยม
23. ค่านิยมที่ครูควรนิยมและไม่ ควรนิยม 1.ค่านิยมที่ครูควรนิยม 2.ค่านิยมที่ครูไม่ควรนิยม
24. การพัฒนาค่านิยมในวิชาชีพครู การพัฒนาค่านิยมในวิชาชีพครู หมายถึง การทาให้ครูยอมรับ ความสาคัญของวิชาชีพความเจริญงอกงามของผู้ประกอบวิชาชีพและ สถาบันวิชาชีพครูด้วย หรือการพัฒนาฝนวิชาชีพ คือ ทาความเชื่อมั่น ใจในคุณค่าของความเป็นครูให้ดีขึ้น
25. สร้างศรัทธาในวิชาชีพ ครูโดยการตระหนักใน คุณค่าของความเป็นครู -เกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพ -เป้าประสงค์ของ วิชาชีพ -สถานภาพทาง วิชาชีพ -ความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ
26. การพัฒนาค่านิยมในวิชาชีพครูโดยอาศัยปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ -ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชา -จัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างค่านิยม -ประกาศเกียรติคุณยกย่องครูอาจารย์ที่มีความสามารถดีเด่น -ทาการวิจัยเพื่อหาทางแก้ไขปรับปรุงคุณธรรม -จัดหาเอกสารเพื่อการสร้างคุณธรรม -สถาบันวิชาชีพครูต้องเร่งรัดพัฒนาวิชาชีพครูให้เจริญ -คัดเลือกนักศึกษาที่จะมาเรียนครูอย่างเคร่งครัด
27. ความศรัทธาในวิชาชีพครู ความหมายของความศรัทธา ความศรัทธาจะต้องเป็นความเชื่อ ความเลื่อมใส หรือความรู้สึกซาบซึ้ง ซึ่งเกิด จากความมั่นใจในเหตุผล ความมั่นใจที่เกิดจากความศรัทธานี้สามารถแยก ออกเป็นองค์ประกอบได้3 ประการ คือ 1) มั่นใจว่าเป็นไปได้ 2) มั่นใจว่ามีคุณค่า 3) มั่นใจว่าพิสูจน์ให้เห็นความจริงได้
28. ประการที่สอง คือ ศรัทธาต่ออาชีพครู ประการที่สาม คือ ศรัทธาต่อองค์กร วิชาชีพครู ประการที่หนึ่ง คือ ศรัทธาต่อตนเอง การสร้างศรัทธาในอาชีพครู
29. ข้อคิดเกี่ยวกับศรัทธา 1.ศรัทธาเป็นธรรมขั้นต้น เป็นเครื่องมือชักนาให้ก้าวไปสู่จุดหมายได้ผลรวดเร็วขึ้น 2.ศรัทธาในพุทธธรรมมีเหตุผลเป็นฐานรองรับ มีปัญญาคอยควบคุม จึงยากที่จะผิดนอกจากพ้นวิสัย จริงๆ ถ้าผิดแล้วสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้จะไม่ผิดตลอดกาล เพราะต้องค้นคว้าทดลองหาเหตุผลอยู่เสมอ 3.ถ้าคนเราศรัทธาด้วยอารมณ์ด้านเดียวถือว่าเป็นความเชื่องมงายจาเป็นต้องกาจัดต้นตอแก้ไขให้ถูกต้อง 4.คนทุกคนเมื่อเข้าสู้อาชีพที่ตนเลือกแล้ว ควรศรัทธาในอาชีพนั้นๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น